ฝึกทำแบบทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ข้อ 1-10 | English for Communication Test

มีคำถามภาษาอังกฤษ  10  ข้อมาให้ประลองฝีมือกัน!

Hello, how are you? ดีแลสุขภาพกันด้วยนะครับ ปลายฝนต้นหนาว ช่วงนี้มีคนไม่ค่อยสบายกันเยอะครับ 

วันนี้ พี่เล้ง(📲 ดูประวัติ) คนชอบเขียน จะเอาแบบที่เขียนขึ้นเอง เป็นคำถามเกี่ยวกับภาษาอังกฤษแบบง่ายๆมาให้น้องที่สนใจได้ลองทำกันดูครับ

เป็นการเริ่มต้นที่ดีนะ ถ้าเราชอบเรียนภาษา แต่ได้แต่คิด ยังไม่เคยได้ลงมือทำ ตอนนี้ได้เริ่มกันแล้วทีนี่เลย



อยากเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งเร็วๆ ที่นี่เรามีตัวช่วย!

ฝึกทำแบบทดสอบด้านล่างให้ถูกทั้งหมด 10 ข้อได้ ก็ถือว่าดีแล้วน่าาาา


หลังจากตอบเสร็จ: - เลื่อนขึ้นด้านบนและแตะที่ "VIEW SCORE" เพื่อดูผลคะแนน

ถ้าทำแบบทดสอบแล้วบางคนก็ยังคงอดสงสัยว่า เอ! ทำไมถึงได้ตอบข้อนั้้น ไม่ใช่ข้อนี้หรือวะ ตัวเลือกมั่วหรือป่าววว

เรามาดู solution กันที่นี่ได้เลยฮ่ะ

ข้อ 1

คำตอบคือข้อ c เพราะเป็นวัฒนธรรมของชาวยุโรปซึ่งจะแนะนำตัวเองก่อน แต่ถ้าคนไทยจะถามชื่อคนอื่นก่อน สำนวนการทักทายที่จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม

ข้อ a คุณชื่ออะไร ดูเหมือนจะใช่ แต่ไม่ ฝรั่งเขาไม่ถามชื่อกันโต้งๆแบบว่าไม่ได้รู้จักกันมาก่อน

ข้อ b แปลว่า คุณมาจากเมืองไทยหรือ

ข้อ d ยินดีที่พบคุณที่นี่

และข้อ e กรุณาแนะนำตัวหน่อยจ๊ะ

ข้อ 2

ตอบ d เพราะว่า A: พูดว่า What is your favorite food? คุณชอบอาหารแบบไหน คำตอบนี้เป็นสำนวนทางภาษาซึ่งต้องจำ แต่ก็ไม่ยากนักนี่นะ

ข้อ a คุณอยากกินอะไร ไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่ครับคำนี้

ข้อ b คุณชอบจานไหน หรือ จะเอาจานไหน (มีให้เลือก)

ข้อ c คุณกินอาหารทะเลยังไง เช่น ต้ม ยำ ทำแกง...

ข้อ e คุณชอบข้าวผัดแบบไหน ประมาณว่า ผัดแบบแห้งๆ แฉะๆ ใส่ไข่ ไม่เอาผัก ฯ

ข้อ 3

ตอบ e คำตอบมีความสมบูรณ์มากกว่าข้ออื่นและตอบตรงกับในตำราเรียน ซึ่งความจริงเราสามารถตอบข้อ a ก็น่าจะถูกแต่ข้อ e เป็นคำตอบที่ perfect (สมบูรณ์)กว่า

ข้อ a ใช่ ฉันอาศัย

ข้อ b เปล่า ฉันไม่ได้อยู่(กับพ่อแม่)

ข้อ c ใช่ ฉันอยู่บ้าน

ข้อ d เปล่า ฉันอยู่แฟลตคนเดียว

ข้อ 4

ตอบ a คือ We’d left the airport before Jack arrived. เราออกจากสนามบินก่อนแจ๊คมาถึง

ประโยคนี้คือ past perfect tense : past(กริยาช่อง2 คือ had) perfect(กริยาช่อง 3 คือ left มาจากคำว่า leave แปลว่า ออกจาก)

Before แปลว่า ก่อน

Arrived แปลว่า มาถึงเป็นกริยาช่อง 2 (รูปเดิม(Base form) คือ Arrive)

เรื่องนี้กำลังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว นั่นก็คือเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว อาจเป็นอดีตเมื่อชั่วโมงที่แล้วหรือเดือนที่ผ่านมา เช่น เมื่อวานนี้ก่อนที่แจ๊คจะมาถึง เราออกสนามบินไปก่อนแล้ว นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนคือ past perfect tense และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลัง คือ แจ๊คมาถึง เป็น past tense

ข้อ b ถ้าตอบข้อนี้จะหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่เมื่อดูที่รูปประโยคพบว่ามี before แปลว่า ก่อน แสดงว่าเหตุการณ์มิได้เกิดขึ้นพร้อมกัน

ข้อ c คือ we have เป็น present tense ใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบัน

ข้อ d คือ we are ใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันเหมือนข้อ c

ข้อ e คือ we will ใช้กับอนาคต

ข้อ 5

ตอบข้อ a Passaree takes the BTS to work every day. อธิบายเพื่อคนที่ไม่เข้าใจ พัศรีโดยสารรถ บีทีเอส ไปทางานทุกวัน ประโยคนี้เป็น present tense ประโยคปัจจุบันธรรมดา สิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำเป็นปกติ โดยดูจากคำว่า every day(ทุกๆวัน) ดังนั้นประโยคลักษณะแบบนี้ให้ดูที่คำกริยาและประธาน ตามประโยคนี้ประธานเป็นคนๆเดียว(เอกพจน์ Singular)ดังนั้นกริยาคือ take จึงต้องมี s ต่อท้ายดังนี้คือ takes

ข้อ b คือ is taking ใช้กับกรณีนี้ไม่ได้ เพราะใช้ในกรณีที่กำลังเกิดขึ้นต่อเนื่องเท่านั้น

ข้อ c will take เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ข้อ d คือ has taken เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่มีผลต่อเนื่องถึงปัจจุบัน หรือ ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไป หรือเพิ่งจบลงใหม่ ๆ มักจะมีคำว่า just, already หรือ yet เป็นต้น has เป็นกริยาช่วยช่อง 1 เป็น present ส่วน taken เป็นกริยาแท้ช่อง 3 pefect

ส่วนข้อ e เป็น present perfect continuous (has been taking) has เป็นกริยาช่วยช่องที่1 คือ present ส่วน been เป็นกริยาช่อง3 perfect และ taking เป็นกริยาที่กาลังกระทำอยู่อย่างต่อเนื่อง คือ continuous ความหมายของ present perfect continuous คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและยังคงดำเนินต่อไป

ข้อ 6

ตอบข้อ b คือคำกริยา mows แปลว่า ตัดหญ้า รูป base form เดิมๆ คือ mow อ่านว่า โมว แต่ในที่นี้ใช้กับประธาน เอกพจน์(Singular) กฏคือ ต้องเติม s ต่อท้ายคำกริยานั้นๆ ประโยคนี้ใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ส่วนคำ the lawn once a month แปลว่า สนามหญ้าอาทิตย์ละ1ครั้ง แตกเป็นคำๆได้ว่า

Lawn ลอว์น แปลว่า สนามหญ้า

Once วันซ์ แปลว่า ทันทีที่ ครั้งเดียว หนึ่งครั้ง

Month มันธ์ = เดือน

ข้อ a คือ mops อ่าน ม็อบ แปลว่า ถู เช็ด ไม้ถูพื้น ที่คนไทยเราเรียกทับศัพท์ว่า ไม้ม็อบยังไงล่ะครับ (คนละเรื่องกับก่อม็อบนะครับ หึหึ)

ข้อ c คำศัพท์ irons ไอ-ออน แปลว่า เตารีด รีดผ้า

ข้อ d rakes แรค แปลว่า คราด

ข้อ e sweeps สวีป แปลว่า ปัด กวาด

ข้อ 7

ตอบ e คือ How do you practice reading?(เฮา ดู ยู แพรคทิซ รีดดิ่ง) แปลว่า คุณฝึกการอ่านอย่างไร I read English newspapers every day. ฉันอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน โดย How เฮา แปลว่า อย่างไร

ข้อ a คำว่า What ว็อท แปลว่า อะไร

ข้อ b when เว็น แปลว่า เมื่อไหร่

ข้อ c where แวร์ ที่ไหน

ข้อ d คือคำว่า why ไวย์ แปลว่า ทำไม

ข้อ 8

ข้อนี้ A พูดว่า "ฉันกังวลใจมากเลยเรื่องการพูดภาษาอังกฤษ" (nervous กังวลใจ หงุดหงิด) "ฉันกลัวว่าจะทำผิดพลาด"

B พูดว่า "คุณไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น (You should not be)" "คุณสามารถเรียนรู้ได้จากความผิดพลาดเหล่านั้น"

ข้อนี้ตอบ b เพราะ should ใช้กับการแนะนา ให้ข้อเสนอแนะ (ควรจะ) ในกรณีนี้แปลว่า "ไม่ควรจะ" เพราะมี not ใส่ไว้ข้างหลัง

ข้อ a do อ่านว่า ดู ถ้าทำหน้าที่เป็นกริยาแท้แปลว่า ทำ แต่ถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่า จะเพิ่มน้ำหนักให้กับประโยคนั้น เช่น I do love you. = ฉันรักคุณมากๆ

ข้อ c can แคน แปลว่าสามารถ

ข้อ d may เมย์ แปลว่า อาจจะ

ข้อ e might ไมท์ แปลว่า อาจจะ คล้ายๆกับ may แต่ใช้ในลักษณะประโยคที่ให้น้ำหนักเป็นไปได้เบากว่า may เช่น I may go to join the party. / I might go to join the party. แปลเหมือนกัน คือ "ฉันอาจจะไปร่วมงานเลี้ยง" แต่ประโยคที่ใช้ may ผู้พูดมีเปอร์เซ็นจะไปมากกว่าครับ น่านว่าเข้านั่น😂

ข้อ 9

ตอบข้อ c I feel so discouraged ฉันรู้สึกหมดกาลังใจอย่างมาก

Rule แปลว่า กฎ

Remember คือ จำ

Maybe อาจจะ (ในบางกรณีไม่แปลคำนี้ก็ได้)

Should ควรจะ

More มาก

Exercises แบบทดสอบ กิจกรรม แบบฝึกหัด ออกกาลังกาย

คำแปลของโจทย์ คือ "ถ้าอยากจะจำกฎของแกรมม่า(ไวยกรณ์)ได้ก็ต้องทำแบบฝึกหัดมากๆ"

ข้อ a = I feel fine.ไอ ฟิล ไฟน์ = ฉันรู้สึกสบายดี

ข้อ b = I'm so happy. ไอ'ม โซ แฮปปี้ = มีความสุขมาก

ข้อ d = I'm OK. ไอ'ม โอเค = ฉันตกลง

ข้อ e = I'm contented. ไอ'ม คอนเท้นดฺ = เป็นที่พึงพอใจ

ข้อ 10

คำตอบคือข้อ a I can memorize the vocabulary better by drawing pictures. ฉันสามารถจดจำคำศัพท์ได้ดีขึ้นโดยการวาดรูป

Drawing คำนี้ทำหน้าที่เป็นคำนามแปลว่า การวาดรูป ประโยคนี้เป็น present tense ประโยคปัจจุบันธรรมดา เป็นการพูดขึ้นมาลอยๆไม่เกี่ยวกับอดีตหรืออนาคต

I เป็นประธานของประโยค can เป็นกริยาช่วย memorize เป็นคำกริยาแท้ the vocabularyเป็นกรรมของประโยค better by drawing pictures ทำหน้าที่ขยายกรรมบอกให้รู้ว่าโดยการวาดรูป ตามหลักไวยากรณ์ของประโยคลักษณะนี้เมื่อประธานเป็นเอกพจน์คือ คนเดียว สิ่งเดียว กริยาต้องเติม s แต่ก็มีข้อยกเว้นว่าถ้าประธานเป็น I กับ you กริยาไม่เติม s หรือตามคำกล่าวที่ว่าประธานบุรุษที่ 1 และบุรุษที่ 2 กริยาไม่เติม s

ข้อ b memorizing เป็นคำกริยาที่หมายถึงกำลังกระทำซึ่งจะตามหลัง is am are was were

ข้อ c memorizes เป็นคำกริยาต้องเติม s ซึ่งจะใช้เมื่อประโยคที่มีลักษณะที่ประธานเป็นเอกพจน์คือ คนเดียว สิ่งเดียว และต้องไม่มีกริยาช่วยตัวอื่นอยู่ในประโยคที่ทำหน้าที่ช่วยกริยาแท้ แต่ประโยคตามโจทย์มี can ซึ่งเป็นกริยาช่วยอยู่แล้ว เมื่อเติม s ที่ท้ายกริยาแท้จึงผิดหลักไวยากรณ์ตามที่อธิบายมาแล้วนั้น

ข้อ d memorized เป็น past tense ใช้ในกรณีประโยคที่พูดถึงอดีต

ข้อ e to memorize เพราะ to ที่ใช้กับคำกริยาในกรณีที่มีกริยาแท้ 2 ตัวซ้อนกันจะต้องมี to มาคั่น แต่ในกรณีนี้เป็นกริยาช่วย can กับกริยาแท้ memorize ไม่ต้องมี to มาคั่น

ลิ้งค์แนะนำ คลิก 👉 : English 12 Tenses : ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

ลิ้งค์แนะนำ คลิก 👉 : เผยเคล็ดลับเอ็กเซล : XCEL-GURU

ถ้าชอบก็ช่วยแชร์ไปให้เพื่อนๆคนๆได้มีโอกาสเข้ามาอ่านกันบ้างนะครับ สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนแล้วครับ

ก่อนจบและลาจาก (ไม่ได้ลาขาดนะครับ) ขอฝากมุมดีๆไว้เพื่อเป็นแรงกระตุ้นเรียนภาษาอังกฤษครับ

การเรียน การฝึกภาษาอังกฤษเปรียบเสมือกันการที่เราเก็บสะสมดวงแสตมป์ลงบนแผ่นกระดาษติดตราแสตมป์นั่นแหละครับ

เราเรียนคำศัพท์วันละ 5 คำ ก็เปรียบเทียบได้เหมือนกับเราเก็บสะสมแสมป์ได้ 5 ดวงในวันนั้น ในลักษณะเดียวกัน หากว่าคุณเก็บได้ 1 คำศัพท์ = คุณก็ได้ไป 1 แต้ม บางคนอาจทำได้ถึง 20-30 คำศัพท์ก็เท่ากับรับไปตามจำนวนที่ทำได้นั้นแหละครับ

คราวนี้การเรียนภาษาอังกฤษ ควรเริ่มจากไหนก่อน 

ส่วนตัวผมจะตอบว่า เริ่มจากสิ่งที่คุณชอบมากที่สุดก่อนครับ เพราะคนแต่ละคนมีความชอบในเรื่องเดียวกันแต่ชอบในส่วนที่เขาชอบ

ผมยกตัวอย่างนะครับ โอเค คน 10 คนในกลุ่มนี้อยากเรียนภาษาอังกฤษ อันนี้แปลได้ว่า ทุกคนชอบเหมือนกัน แต่คำถามต่อไปมีอยู่ว่า คน 10 คนนี้ชอบตรงไหน บางคนบอกชอบท่องศัพท์ บางคนชอบอ่าน ในขณะที่บางคนชอบฟัง แต่ยังไม่ชองพูด(ยังไม่กล้าพูด = เพราะยังไม่มั่นใจ = ยังไม่ถึงจุดที่จะดึงความมั่นใจออกมา)

ถ้าความเห็นของผมเป็นจริง และคุณเห็นด้วยผมว่า คุณก็ต้องตอบคำถามนี้ให้ได้เสียก่อนว่า การที่คุณอยากพูดเก่งภาษาอังกฤษ คุณต้องการเริ่มจากจุดไหนก่อนดี ถามตัวคุณเองนะครับ ไม่ต้องไปถามใครคนไหนๆหรอกนะครับ เพราะว่าถ้าถามคนอื่น ถามไป 100 คน คุณจะได้คำตอบ 100 แบบ แล้วคุณจะเลือกอะไรล่ะ สุดท้ายมันก็ขึ้นกับการตัดสินใจของคุณเอง

เรื่องจริงของตัวของผมนั้น ผมเริ่มจากการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษของชั้นประถมก่อน แล้วก็ท่องศัพท์ที่พบในหนังสือที่อ่านนั้นไปด้วยครับ ท่องเฉพาะศัพท์ที่ไม่รู้เท่านั้นนะ ตัวไหนพอเห็นแล้วเดาได้ก็ไม่ต้องท่องให้เสียเวลาครับ เพราะมันจะถ่วงเวลาของตัวเราเอง

จากนั้นผมก็จะเรียนด้วยตัวเองอีกหลากหลายวิธีครับ ซึ่งคงได้เขียนไว้อีก Post หนึ่งโดยเฉพาะแล้ว ก็ลองเข้าไปอ่านกันดูได้ครับ



อย่าลืมกด Subscribe เพื่อจะได้ไม่พลาดการติดตามเรื่องของเราที่ว่าดีและมีอีกมากมายจากพี่เล้ง คนชอบเขียน✍️ และชอบให้ครับ

แล้วพบกันใหม่ครับ

Thanks for reading.

Posted by: Michael Leng



I've known, then I've grown. 


ถ้าชอบช่วยกด Like ถ้าใช่ช่วยกด Share เพื่อเป็นกำลังให้ผมด้วยนะครับ / ขอบคุณครับ

ความคิดเห็น