อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ

เคล็ดลับที่ 5

อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ

ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือภาษาอังกฤษทุกชนิดแบบไม่เลือกประเภทตั้งแต่การ์ตูนจนถึงตำราแพทย์ คอลัมน์นิสต์ภาษาอังกฤษของหนังสือพิมพ์ แมกกาซีน นิยาย ฯ

1] อ่านการ์ตูน (Cartoon)

หนังสือการ์ตูนที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ อ่านแล้วบางครั้งขำไม่ออกเลยครับ ไอ้ที่ขำไม่ออกไม่ใช่เป็นเพราะเขาเขียนไม่ตลกนะครับ แต่เป็นเพราะผมอ่านแล้ว ผมไม่เข้าใจความหมายที่ผู้เขียนเขาสื่อออกมาหน่ะครับ แต่ผมก็ไม่ละความพยายามครับ อ่านได้เรื่อยๆครับถ้ามีให้อ่าน



ส่วนหนังสือการ์ตูนโดยเฉพาะที่เป็นภาษาอังกฤษ เมื่อก่อนผมจะหามาอ่านประจำครับ ได้ทั้งความรู้ภาษาอังกฤษและความบันเทิง ผ่อนคลายจากการ์ตูน

2] คอลัมน์สอนภาษาอังกฤษ (English Columnist)

หนังสือพิมพ์หรือหนังสือต่างๆที่มีคอลัมน์เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นแหล่งความรู้ที่สามารถหามาอ่านได้โดยการลงทุนที่ไม่แพง สำหรับผมแล้วผมมองว่าเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษที่ดี หาอ่านได้ง่ายมากอีกแหล่งหนึ่ง สมัยก่อนๆเมื่อผมอ่านเสร็จแล้ว ผมจะตัดคอลัมน์มาสะสมเอาไว้ด้วยครับ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ได้ทำแบบนั้นแล้วครับ เพราะว่ามีอินเตอร์ให้เราอ่านมากมายและไม่ต้องตัดเก็บไว้ให้ยุ่งยากครับ ไม่เปลีองกระดาษ เป็นการช่วยเหลือโลกใบนี้ไม่ให้ร้อนมากไปกว่านี้ครับ

3] หนังสือตำราเรียนภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัย (Text Book)

ผมซื้อตำราของมหาวิทยาลัยที่เขาเขียนเพื่อสอนให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ด้วยความที่ผมอยากเรียนภาษาอังกฤษ ผมก็ซื้อมาเก็บไว้ที่บ้าน เมื่อว่างก็จะเปิดอ่าน ตำราเหล่านี้ค่อนข้างออกแบบมาดี บางเล่มผู้อ่านสามารถเรียนได้ด้วยตนเอง ผมซื้อหามาอ่านหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นหนังสือใหม่หรือหนังสือใช้แล้วก็ตาม ขอให้เขียนหรือตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นเป็นพอ ถ้าผมเจอผมจะซื้อมาอ่านแน่นอนครับ

4] หนังสือสนทนาภาษาอังกฤษ (English Textbook)

ผมซื้อตำราทั้งที่เขียนในและต่างประเทศ ทั้งเก่าและใหม่ ผมจะทยอยอ่านและทำแบบฝึกหัดไปเรื่อยๆครับ ปัจจุบันผมมีหนังสือหลายเล่มที่เก็บขึ้นหิ้งไว้ เพราะว่าซื้อมาตุนไว้มากจัด อ่านไม่ทันเลยครับ แต่ผมไม่เคยเสียดายเงินกับการซื้อหนังสือเหล่านี้มาอ่านเลยครับ ใจมันชอบหน่ะครับ คงไม่เสียหายอะไรใช่ไหมครับกับการที่ต้องจ่ายหรือต้องลงทุนไปกับความรู้ที่เราจะได้รับตอบแทนกลับมา

5] ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับศานา (Religion Book)

ด้วยความที่อยากทราบภาษาอังกฤษที่หลากหลายแขนง ผมสนใจทั้งนั้น วันหนึ่งผมเดินผ่านร้านขายหนังสือมือสอง หนังสือเก่านั่นแหล่ะครับ เห็นหนังสือที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธศานา เล่มเล็กกระทัดรัด ผมจึงซื้อเก็บไว้

ส่วนอีกเล่มหนึ่งที่เป็นหนังสือธรรมะเหมือนกันครับ เล่มนี้เป็นหนังสือใหม่ เขียนโดยพระรูปหนึ่งที่นำคำสอนของพระพุทธทาสภิกขุ อดีตพระนักเทศน์วัดสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฏร์ธานีมาเขียนรวบรวมไว้ ผมเปิดอ่านดูด้านในก่อนที่จะซื้อ ดูคำศัพท์ต่างๆแล้วค่อนข้างยากกว่าภาษาที่ใช้พูดกันทั่วๆไปมาก แต่ในขณะเดียวกันก็หวนคิดกลับมาว่า แค่ธรรมะที่เขียนเป็นภาษาไทยก็ยากที่จะเข้าใจอยู่แล้ว แล้วภาษาอังกฤษที่เขียนเกี่ยวกับธรรมะล่ะมันจะยากมากกว่าขนาดไหน ฉะนั้นแล้ว ผมจะต้องพยายามอ่านให้เข้าใจให้ได้ ผมก็เลยตัดสินใจซื้อมาหนึ่งเล่มครับ

ไม่ใช่เฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธอย่างเดียวเท่านั้นนะครับที่ผมสนใจและซื้อมาอ่าน ผมมีหนังสือคัมภีร์ไบเบิ้ลของพระคริสต์ด้วยเช่นกัน

ภาษาอังกฤษนั้น ผมคิดเสมอว่าเราไม่ควรเลือกอ่านแขนงใดแขนงหนึ่งเท่านั้น ยิ่งหลากหลายยิ่งครอบคลุม

6] หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ (Health Care)

ผมลงทุนซื้อหนังสือเล่มนี้ด้วยราคาเฉียดพันบาท ด้วยเหตุผลหลัก 2 ข้อคือ

1 หนังสือเขียนด้วยภาษาอังกฤษ
2 เป็นหนังสือเชิงความรู้ด้านสุขภาพ

ผมอ่านแล้วรู้สึกว่ายากมากพอควรครับ เพราะผู้เขียนจะพูดถึงกลไกการทำงานของร่างกายของมนุษย์เรา โดยเปรียบว่าร่างกายมนุษย์ก็ประดุจดังเช่นโรงงานแห่งหนึ่งที่ต้องมีการรับวัตถุดิบเข้าโรงงาน ทำการผลิต ทิ้งของเสีย เก็บของดี เป็นต้น เป็นหนังสือที่น่าอีกเล่มที่ผมชอบ

7] นิยาย (Novel)

ถ้าถามผมว่าจริงๆแล้วผมชอบอ่านนิยายหรือไม่ คำตอบของผมคือ “ไม่ชอบอ่าน”ครับ แต่ที่ผมซื้อหนังสือนิยายมาอ่านก็เพราะว่าผมอยากรู้ว่านิยายที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร เขียนออกมาแล้วมีความเหมือนและแตกต่างจากหนังสือนิยายของไทยเราหรือไม่

เรียนด้วยตัวเอง ฝึกอ่านนิยาย อ่านหนังสือ harry potter

ผมซื้อหนังสือนิยายตั้งแต่เล่มละห้าบาทจนถึงเล่มละห้าร้อยกว่าบาทมาอ่านครับ แฮรี พอตเตอร์ผมก็ไม่พลาดที่ลงทุนหาซื้อมาเก็บไว้เป็นขุมทรัพย์เชิงปัญญา(ภาษาอังกฤษ)อีกเล่มหนึ่ง

8] ดิกชันนารี (Dictionary)

ผมซื้อมาอ่านและเปิดหาศัพท์ บางครั้งผมก็ซื้อดิกชันนารีที่เป็นภาษาอื่นๆด้วย เช่นภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ส่วนเกาหลีกับญี่ปุ่นนี่ไม่ได้ซื้อครับ เพื่อนๆให้มาครับ การเปิดดิกชันนารีอ่านจะมีข้อดีมากมายเลยหล่ะครับ เช่น ทำให้ทราบความหมาย ทราบว่าเป็นคำประเภทไหน คำนามหรือคำกริยา ฯ และดิกชันนารีบางเล่มจะมีประโยคตัวอย่างเขียนประกอบใว้ให้เราศึกษาและทำความเข้าใจการใช้ศัพท์ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

9] นิทาน (Fable)

หนังสือนิทานอ่านแล้วได้ประโยชน์อย่างน้อยที่เห็นชัดๆมีด้วยกัน 4 อย่างคือ
  • ได้ความรู้ เช่น ใครเขียน ใครเล่า เป็นนิทานที่มีที่มาที่ไปอย่างไร ประเทศอะไรเป็นต้นกำเนิด
  • นิทานได้ให้ข้อคิด คติเตือนใจต่างๆ ซึงหัวใจหลักของนิทานเลยครับ นิทานถือเป็นการสอนแง่คิดโดยการเล่าผ่านนิทาน พูดง่ายๆ นิทานก็คือกุศโลบาย ศาสตร์แห่งศิลป์ของการสอนคน เพราะโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ไม่ต้องการถูกสอนสั่ง 
  • ความบันเทิง อ่านแล้วเพลิน สนุกสนาน สามารถที่จะเข้าใจเรื่องราวได้ง่าย
  • และถ้าเป็นหนังสือนิทานที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษ ก็จะได้ความรู้ด้านภาษาเพิ่มด้วย
ผมในฐานะหนอนหนังสือ(Bookworm)ตัวยง(Main body)คงไม่พลาดอย่างแน่นอน โดยเฉพาะนิทานที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษ ที่สำคัญ ปัจจุบัน เราสามารถหาอ่านผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องเสียเงินไปซื้อหนังสือนิทานมาอ่านกันแล้วหล่ะครับ

10] หนังสืออื่นๆ

แม้กระทั่งหนังสือตำราเรียนหลักสูตรแพทย์ ผมก็ซื้อมาเก็บไว้ที่บ้านครับ เล่มนี้เป็นหนังสือเก่าครับ ผมจะไปเดินดูตามตลาดนัดหรือร้านหนังสือ หนังสือใหม่ๆที่ผมซื้อนั้นส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือที่ผมสนใจจริงๆผมจึงซื้อ เพราะหนังสือที่พิมพ์ด้วยภาษาอังกฤษนั้นค่อนข้างจะแพงกว่าหนังสือที่เป็นภาษาไทยของเราพอสมควรครับ ถ้าเราซื้อหนังสือเก่าหรือหนังสือใช้แล้วราคาก็จะเบากว่าซื้อหนังสือใหม่ครับ

อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ

ลงทุนด้วยความฉลาดรอบครอบ ใช้จ่ายในสิ่งที่สมเหตุสมผล เราจะได้ทั้งความรู้และในขณะเดียวกันเรายังมีเงินเหลือเพื่อนำไปใช้ในสิ่งจำเป็นด้านอื่นๆครับ

See more:

เคล็ดลับที่ 3
เคล็ดลับที่ 4
เคล็ดลับที่ 6
เคล็ดลับที่ 7

ความคิดเห็น